บริษัท บางกอกเทอร์มินอลโลจิสติกส์ จำกัด

เศรษฐกิจโลกฟื้น ภาคการส่งออกไทยพุ่งสุดในรอบ 18 เดือน
ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย ในเดือนมกราคม 2567 ภาคการส่งออกไทยมีมูลค่า 22,649.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 784,580 ล้านบาท
ภาคการส่งออกไทย
โดย “กีรติ รัชโน” ปลัดกระทรวงพาณิชย์ แถลง ภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย โดย พบว่า ในเดือนมกราคม 2567 การส่งออกของไทยมีมูลค่า 22,649.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 784,580 ล้านบาท ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ที่ 10%
ซึ่งถือได้ว่าบวกแรงสุดในรอบ 18 เดือน นับเป็นตัวเลขเศรษฐกิจที่น่าจับตามองมากที่สุด สำหรับ “ภาคการส่งออกไทย” หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย ขยายตัว 9.2% สะท้อนให้เห็นว่าการส่งออกของไทยยังคงขยายตัวต่อเนื่อง
สอดคล้องกับหลายๆ ประเทศในเอเชีย ตามทิศทางการค้าโลกที่เริ่มฟื้นตัวจากภาวะเงินเฟ้อ ประกอบกับปัจจัยมูลค่าฐานการส่งออกต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
อีกทั้งมีแรงหนุนจากการส่งออกคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบตามการฟื้นตัวของวัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารที่ยังคงขยายตัวสูง อย่างไรก็ตามยังคงต้องติดตามความไม่แน่นอนจากปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจจะเป็นอุปสรรคทางการค้าในระยะต่อไป
มูลค่าการค้ารวม
มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ
เดือนมกราคม 2567 การส่งออก มีมูลค่า 22,649.9 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 10% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 25,407.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 2.6% ดุลการค้า
ขาดดุล 2,757.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
มูลค่าการค้าในรูปเงินบาท
เดือนมกราคม 2567 การส่งออก มีมูลค่า 784,580 ล้านบาท ขยายตัว 10.2% เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 890,687 ล้านบาท ขยายตัว 2.% ดุลการค้า ขาดดุล 106,107 ล้านบาท
แนวโน้มการส่งออกในปี 2567
ภาคการส่งออกไทยยังคงได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจคู่ค้าตามภาวะเงินเฟ้อโลกที่เริ่มชะลอตัว การได้รับอานิสงส์จากมาตรการรักษาความมั่นคงทางด้านอาหารของหลายประเทศ และจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคที่มีความเข้มแข็ง ขณะที่ความขัดแย้งภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลางยังไม่ส่งผลกระทบทางตรงต่อไทยมากนัก
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคการขนส่งที่เกิดจากความขัดแย้งดังกล่าว ส่งผลในทางอ้อมทำให้อัตราค่าระวางเรือเพิ่มสูงขึ้น และอาจทำให้เศรษฐกิจคู่ค้ามีความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในอนาคต ขณะที่อัตราแลกเปลี่ยนอาจจะยังมีความผันผวน จากทิศทางการปรับเปลี่ยนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้มีการติดตามประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายการทำงานในการผลักดันการเติบโตของมูลค่าการส่งออกของไทยในปี 2567 ที่ 1-2% ต่อไป
อย่างไรก็ตาม เป็นภาวะที่สอดคล้องกับ อัตราขยายตัวมูลค่าการส่งออกของหลายประเทศ ของเดือนมกราคม 2567 ที่เห็นภาพเริ่มสดใสขึ้น แต่ก็มีบางประเทศที่ยังคงติดลบ เช่น เวียดนาม +42% ไต้หวัน +18.1% เกาหลีใต้ +18% สิงคโปร์ +15.7% ไทย +10% อินเดีย +3.1% มาเลเซีย +0.2% ญี่ปุ่น -0.2% อินโดนีเซีย -8.1%
สะท้อนให้เห็นว่าโมเมนตัมการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกเริ่มดีขึ้น และกลับมาถึงแม้ว่าจะมีปัญหาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ทะเลแดง ซึ่งมีผลกระทบกับค่าขนส่ง
สำหรับตลาดที่ขยายตัวในเดือนมกราคม 2567 Top 5 ได้แก่
ฮ่องกง +72% กลุ่ม CIS +64.6% ทวีปออสเตรเลีย +27.2% อาเซียน (S) +18.1% CLMV +16.6%
การส่งเสริมการส่งออกของกระทรวงพาณิชย์ และแนวโน้มการส่งออกในระยะถัดไป
ทั้งนี้การส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ดำเนินงานที่สำคัญ ได้แก่
1.การหารือกับสหรัฐฯ เพื่อลดอุปสรรคในการส่งออก โดยขอให้พิจารณาเร่งรัดการต่ออายุการให้สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากร (GSP) ที่ได้หมดอายุไปเมื่อปลายปี 2563 รวมไปถึงการขอการสนับสนุนให้ไทยหลุดจากบัญชีประเทศที่ต้องจับตามอง (Watch List: WL) ทุกบัญชี โดยเน้นย้ำถึงความสำคัญของการพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และการเป็นพันธมิตรด้านเศรษฐกิจกับสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเป็นฐานการผลิตในห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ เช่น ดิจิทัล AI อิเล็กทรอนิกส์ เซมิคอนดักเตอร์ รถยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด การบิน ยาและเวชภัณฑ์ เป็นต้น
2.การเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าของไทยในตลาดสหรัฐฯ และอินเดีย คณะผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์และผู้ประกอบการส่งออกเดินทางไปเยือนนครลอสแอนเจลิสของสหรัฐฯ เพื่อเร่งผลักดันการนำเข้าสินค้าไทยในสหรัฐฯ ตลอดจนสร้างเครือข่ายพันธมิตรและความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน แสวงหาผู้นำเข้ารายใหม่ในตลาดสหรัฐฯ พร้อมการลงนาม MOU สินค้าข้าวหอมมะลิ และอาหารกระป๋อง ระหว่างผู้ส่งออกไทยกับผู้นำเข้าสหรัฐฯ ด้วย
นอกจากนี้ยังได้นำคณะผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมงาน Vibrant Gujarat Global Summit ครั้งที่ 10 ที่รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย เป็นโอกาสดีของนักลงทุนไทยที่จะปักหมุดการลงทุนในรัฐคุชราตได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้มีการผลักดันเร่งโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน โดย นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้รฟท.ได้เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ระยะที่ 1 ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา ระยะทาง 250.77 กม. มีวงเงินลงทุน 179,412.21 ล้านบาทโดยแบ่งเป็นค่างาน
โยธา 14 สัญญา ปัจจุบันก่อสร้างเสร็จแล้ว 1 สัญญา อยู่ระหว่างก่อสร้าง 11 สัญญา ส่วนอีก 2 สัญญาที่ยังไม่ได้ลงนาม เพื่อแก้ปัญหาการขนส่งที่ล่าช้า และเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าของประเทศไทย
ที่มาแหล่งข้อมูล : Tharath monet / infoquest
————————–
ติดต่อสอบถามบริการ BTL
02-681-2005 ถึง 9