เปิดดีลถั่วเหลืองภาษี 0% จากสหรัฐฯ ใครได้กำไร? ใครต้องจ่ายแพงกว่าเดิม?

ภายใต้ความพยายามสร้างสมดุลการค้าระหว่างประเทศ ไทยตัดสินใจเปิดทางให้ถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดโดยไม่เก็บภาษีนำเข้า แต่การลดภาษีครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่ผู้ผลิตต่างชาติเท่านั้น…

เพราะคำถามสำคัญคือ “ใครในประเทศกันแน่ที่ต้องแบกรับต้นทุนจากดีลนี้?”

ขณะที่หลายฝ่ายมองว่าการเปิดตลาดคือโอกาส แต่รายละเอียดที่ซ่อนอยู่ กลับสะท้อนว่าผู้บริโภคและผู้ประกอบการในไทยอาจต้องจ่ายมากกว่าที่คิด

สถานการณ์ถั่วเหลืองในไทย: ตัวเลขที่ควรรู้

  • ปี 2567 ไทยมีพื้นที่ปลูกถั่วเหลืองราว 66,121 ไร่
  • ผลผลิตประมาณ 16,000 ตัน หรือราว 270 กิโลกรัมต่อไร่
  • มูลค่าการผลิตรวมประมาณ 400 ล้านบาท
  • ต้นทุนเฉลี่ยของเกษตรกรไทยอยู่ที่ 17 บาทต่อกิโลกรัม

ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยนำเข้าถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองรวมกว่า 5 ล้านตันต่อปี โดยใช้เพื่อ 2 วัตถุประสงค์หลัก:

  1. สกัดน้ำมันพืชเพื่อบริโภค
  2. ผลิตอาหารสัตว์ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ โครงสร้างการนำเข้าและต้นทุนที่ต่างกัน
  • ถั่วเหลืองเมล็ดดิบ: ภาษีนำเข้า = 0%
  • กากถั่วเหลือง: ภาษีนำเข้า = 2%

ไทยนำเข้าสินค้าทั้งสองประเภทจาก 2 ประเทศหลัก ได้แก่ บราซิล (80%) และสหรัฐฯ (20%)
แต่ความน่าสนใจอยู่ที่ “ต้นทุน” ของทั้งสองประเทศแตกต่างกันมาก:

ต้นทุนการผลิตถั่วเหลืองต่อไร่ (2568):

  • สหรัฐฯ: 6,864 บาท/ไร่ หรือ 12.3 บาท/กก.
  • บราซิล: 6,169 บาท/ไร่ หรือ 10.7 บาท/กก.

หมายความว่า: แม้ภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จะเป็นศูนย์ แต่ราคาต้นทุนถั่วเหลืองจากอเมริกาก็ยัง “สูงกว่า” ถั่วเหลืองบราซิลเฉลี่ย 1.6 บาท/กิโลกรัม

ผลกระทบในประเทศ: ใครได้ ใครเสีย?

เกษตรกรไทย: กระทบน้อย แต่ก็ใช่ว่าจะนิ่งนอนใจได้

แม้ต้นทุนการผลิตในไทยจะสูงกว่าต่างชาติ แต่เกษตรกรยังขายได้ในราคาประกันเฉลี่ยที่ 20 บาท/กก.
ผลผลิตจึงอาจไม่ลดทันที แต่ระยะยาว หากราคานำเข้าถูกลงและมีการนำเข้าเพิ่ม เกษตรกรอาจต้องปรับตัว

ผู้ปลูกปาล์มน้ำมัน: ได้ประโยชน์ทางอ้อม

เพราะน้ำมันพืชจากถั่วเหลืองนำเข้ายังมีราคาสูงกว่าน้ำมันปาล์มในประเทศ
จึงไม่กระทบราคาในตลาดมากนัก

ผู้ประกอบการ: อยู่ในจุดเปราะบาง

โรงงานผลิตอาหารสัตว์อาจต้องจ่ายต้นทุนเพิ่ม หากต้องนำเข้ากากถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ แทนบราซิล เนื่องจากต้นทุนถั่วเหลืองสหรัฐฯ สูงกว่า แม้จะได้ภาษี 0% ก็ตาม

ผู้บริโภค: แบกภาระราคาสินค้าอุปโภค

น้ำมันถั่วเหลือง เต้าหู้ นมถั่วเหลือง — สินค้าที่เราคุ้นเคยในชีวิตประจำวันอาจขึ้นราคา เพราะต้นทุนวัตถุดิบที่นำเข้าจากสหรัฐฯ สูงกว่าบราซิล และอาจต้องสะท้อนราคามายังผู้บริโภคในที่สุด

บทสรุป: ดีลภาษี 0% ดีจริงหรือ?

แม้จะฟังดูเหมือนโอกาสทองด้านการค้า แต่เมื่อพิจารณารายละเอียดเชิงลึก ดีลภาษี 0% สำหรับถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ กลับอาจส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น และผู้ที่ได้รับผลกระทบจริงอาจเป็น “คนไทยในประเทศ”

  • เกษตรกรยังพอรับมือได้
  • ผู้ประกอบการอาจต้องปรับราคาหรือแบกต้นทุน
  • ผู้บริโภคคือกลุ่มที่ต้องลุ้นราคาสินค้าในตลาด

ที่มา: ฐานเศรษฐกิจ