ปิดด่านชายแดน กระทบเศรษฐกิจมากกว่าที่คิด!

สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนที่ยืดเยื้อนานกว่า 7 เดือน ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการค้าชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา โดยเฉพาะการส่งออกสินค้าจากไทย ซึ่งมีมูลค่าสูงราว 70,000 ล้านบาทต่อปี ขณะที่การนำเข้าจากกัมพูชามีมูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาทต่อปี ทำให้การปิดด่านส่งผลให้รายได้จากการค้าชายแดนหายไปกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี

แม้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศจะอยู่ในระดับจำกัด คาดว่าจะกระทบจีดีพีราว 0.2% แต่ผลกระทบด้านการค้ากลับกระจุกตัวอยู่ใน 6 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีพรมแดนติดกัมพูชา ซึ่งผู้ประกอบการในพื้นที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และจำเป็นต้องเร่งหาตลาดทดแทนเพื่อลดความเสียหาย

มีการประเมินว่า หากสถานการณ์ยืดเยื้อเกิน 3 เดือน มูลค่าความเสียหายทางการค้าอาจเพิ่มจาก 50,000 ล้านบาท เป็นสูงถึง 80,000 ล้านบาทต่อปี อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์คลี่คลายภายใน 10–20 วัน ยังถือว่าอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ แต่หากยืดเยื้อยาวนาน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโอกาสที่ประเทศคู่ค้าจะหันไปนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคจากประเทศอื่นแทน ซึ่งปัจจุบันสินค้ากลุ่มนี้กว่า 80% ยังคงนำเข้าจากไทย

ในด้านการลงทุน ธุรกิจไทยที่ดำเนินกิจการในกัมพูชาส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ภาคเกษตร และพลังงาน โดยผลกระทบหลักจะเกิดกับภาคเอกชนเป็นสำคัญ และยังไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์อาจส่งผลให้บางบริษัทต่างชาติพิจารณาย้ายฐานการผลิตกลับมายังไทย แม้ขณะนี้ยังไม่มีการตัดสินใจจากผู้ประกอบการรายใหญ่

ประเด็นแรงงานถือเป็นอีกหนึ่งโจทย์สำคัญ เนื่องจากแรงงานจากกัมพูชาที่ทำงานในไทยมีจำนวนสูงถึง 7–8 แสนคนต่อปี หากขาดกลไกทดแทนที่เหมาะสม อาจส่งผลกระทบต่อภาคบริการและอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานต่างชาติเป็นหลัก

สำหรับภาคการท่องเที่ยว ผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่ เช่น จังหวัดชายแดนภาคตะวันออก ขณะที่ผลกระทบที่ชัดเจนต่อการท่องเที่ยวในภาพรวมยังมาจากปัจจัยอื่น เช่น สถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้ ซึ่งส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านลดลงจำนวนมาก และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจมากกว่าสถานการณ์ชายแดนโดยตรง

ขณะเดียวกัน ประชาชนในพื้นที่ชายแดนทั้ง 6 จังหวัดได้รับผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่อง บางส่วนต้องอพยพเป็นระยะ และมีเด็กจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบจากการหยุดเรียนในช่วงที่สถานการณ์ตึงเครียด ทำให้เกิดความต้องการให้สถานการณ์คลี่คลายโดยเร็วเพื่อกลับสู่ภาวะปกติ

ในเชิงข้อเสนอ มีมุมมองว่าสถานการณ์นี้อาจเป็นโอกาสในการจัดการปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะเครือข่ายหลอกลวงทางออนไลน์ที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจปีละหลายหมื่นล้านบาท และส่งผลกระทบในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งจะช่วยยกระดับความเชื่อมั่นและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาวควบคู่ไปกับการแก้ไขปัญหาชายแดน

ที่มาข้อมูล : ฐานเศรษฐกิจ