นักลงทุนญี่ปุ่นอาจย้ายฐานมาไทย หลังสถานการณ์ชายแดนยืดเยื้อ

ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนของนักลงทุนญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์

  • นักลงทุนบางส่วนเริ่มพิจารณาย้ายฐานการผลิตจากกัมพูชามายังประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนและความเสี่ยงด้านโลจิสติกส์
  • ภาครัฐออกมาตรการส่งเสริมการลงทุน เช่น การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรใช้แล้ว และสิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อจูงใจให้เกิดการย้ายฐาน

ผลกระทบต่อซัพพลายเชนญี่ปุ่น

สถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยืดเยื้อทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างสองประเทศหยุดชะงัก ส่งผลให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้นถึง 5–10 เท่า และระยะเวลาขนส่งที่เคยใช้เวลาเพียงครึ่งวันต้องยืดออกไปเป็น กว่า 7 วัน

หลายบริษัทญี่ปุ่นที่มีสายการผลิตเชื่อมโยงระหว่างไทย–กัมพูชา ต้องเปลี่ยนเส้นทางขนส่งอ้อมผ่าน เวียดนามและลาว ส่งผลให้ต้นทุนและระยะเวลาการดำเนินงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่มีขั้นตอนผลิตซับซ้อน

โอกาสของไทยในการดึงดูดฐานการผลิต

นักลงทุนบางส่วนเริ่มหันมาพิจารณาย้ายฐานการผลิตมายังไทย เนื่องจากประเทศไทยมีแรงงานทักษะสูง ระบบสาธารณูปโภคพร้อม และเครือข่ายโลจิสติกส์ที่เชื่อมโยงกับตลาดอาเซียนได้ดีกว่า แม้จะมีต้นทุนแรงงานสูงกว่ากัมพูชา แต่ความมั่นคงและเสถียรภาพด้านโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนให้ความสนใจ

มาตรการจูงใจการลงทุน

รัฐบาลได้อนุมัติมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพื่อช่วยเหลือนักลงทุนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดน โดยให้สิทธิประโยชน์ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรใช้แล้วทุกกรณี และ ให้นำเงินลงทุนในเครื่องจักรอายุไม่เกิน 10 ปี มานับเป็นวงเงินยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ถึง 100%

นอกจากนี้ ยังอนุญาตให้ย้ายเครื่องจักรบางส่วนจากกัมพูชาเข้ามารวมกับโครงการที่มีอยู่ในไทยได้ ภายใน 1 ปี หลังจากยื่นขอแก้ไขโครงการ และต้องเสนอแผนการย้ายฐานภายในสิ้นปี 2569

มุมมองต่ออนาคต

แม้การย้ายฐานการผลิตจะมีข้อจำกัดด้านแรงงานและต้นทุน แต่เมื่อพิจารณาถึงเสถียรภาพและความเชื่อมโยงโลจิสติกส์ของไทยในภูมิภาค การย้ายฐานอาจเป็นทางออกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงระยะยาว

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ