บทความที่เป็นประโยชน์

เปิดให้เอกชนร่วมประมูล 2 เส้นทางรถไฟรางคู่ 9,975 ล้าน (กรุงเทพฯ-ขอนแก่น และ ท่าเรือแหลมฉบัง - ท่าพระ)

5 มีนาคม 2564

กรมการขนส่งทางรางได้จัดประชุม Market Sounding เปิดรับความเห็นจากภาคเอกชน และเปิดให้เข้าร่วมประมูลการใช้ประโยชน์จากระบบราง ที่ทางภาครัฐได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวแล้วอย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยจะเปิดให้เอกชนได้ร่วมให้บริการทางราง ในการขนส่งผู้โดยสาร และสินค้า ผ่าน 2 เส้นทาง ได้แก่

  • กรุงเทพฯ-ขอนแก่น และ
  • ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าพระ

โดยจะให้ภาคเอกชนได้ใช้ประโยชน์ทางรางในช่วงเวลานอกเหนือจากการใช้รางของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพื่อความคุ้มค่าในการลงทุน และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน

ภาครัฐได้จัดสรรเส้นทางรางให้เอกชนร่วมลงทุนทั้งสิ้น 2 เส้นทางดังกล่าว ด้วยวงเงินลงทุน 9,975 ล้านบาท ใช้เวลา 15 ปี โดยมีรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้

  • กรุงเทพฯ-ขอนแก่น
    • ระยะทาง 450 กิโลเมตร
    • จะรองรับผู้โดยสารภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 เมืองหลักๆ คือ นครราชสีมาและขอนแก่น
    • เดินรถ 6 เที่ยวต่อวัน
    • ประกอบด้วยรถดีเซลราง 4 ขบวน ขบวนละ 4 ตู้
    • รางในลานจอดรถ
    • ระบบอาณัติสัญญาณและระบบจำหน่ายตั๋ว
    • คาดว่าจะมีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 2,000 – 2,200 คนต่อวัน
  • ท่าเรือแหลมฉบัง – ท่าพระ
    • ระยะทาง 501 กิโลเมตร
    • เดินรถ 4 เที่ยวต่อวัน และเพิ่มเป็น 6 เที่ยวในปีที่ 6
    • ปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ 60,000 – 100,000 ตู้ต่อปี
    • เป็นเส้นทางศักยภาพในการขนส่งสินค้าการเกษตร
    • อนาคตรองรับสินค้าประเภทแร่ หรือสินค้าจากจีนและลาว
    • ประกอบด้วยหัวรถจักร 3 คัน แคร่ 165 คัน
    • รางในลานจอดรถ
    • ระบบอาณัติสัญญาณในพื้นที่จอด
    • สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายการใช้ยานพาหนะได้ถึง 17,160 ล้านบาท

2 เส้นทางดังกล่าวนี้ จะมาช่วยเสริมทัพประสิทธิภาพในการเดินรถกับโครงการรถไฟทางคู่สายใต้ นครปฐม - ชุมพร และโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือ ลพบุรี – ปากน้ำโพ ที่กำลังจะแล้วเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า

ในส่วนของเอกชนที่ให้ความสนใจในการลงทุนครั้งนี้ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัทปูนซิเมนต์ไทยจำกัด (มหาชน) หรือ SCG และ บริษัทศรีตรังแอโกรอินดัสทรีจำกัดจำกัด (มหาชน)

จากการร่วมให้บริการเส้นทางศักยภาพสูงเหล่านี้ จะช่วยยกระดับการให้บริการระบบรางได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยให้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในครั้งนี้มีความคุ้มค่ายิ่งขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อประเทศด้านโลจิสติกส์ในระยะยาว

 

แหล่งข้อมูล:

https://bit.ly/30eVPWG

https://bit.ly/3c2aV7n

<< กลับไปหน้าบทความ

บทความอื่นๆ