ทำไม ‘ข้าว-มัน-ยาง’ ไทยแข่งเวียดนาม–อินเดียไม่ได้?

ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 7% ขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม อินเดีย และมาเลเซียกลับมีค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้สินค้าส่งออกหลักของไทย ทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา เจอภาวะต้นทุนสูงขึ้นกว่า 10% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงทันที

สัญญาณน่าห่วง: ส่งออกข้าวหดตัวกว่า 30%

ข้อมูลช่วง 8 เดือนแรก (ม.ค.–ส.ค. 2568) ไทยส่งออกข้าวได้เพียง 5.03 ล้านตัน มูลค่า 2,987 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 99,000 ล้านบาท) ลดลงทั้งเชิงมูลค่า -30.6% และปริมาณ -24.1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ตลาดหลักยังคงเป็น สหรัฐ, อิรัก, แอฟริกาใต้, จีน และฮ่องกง

“มันสำปะหลัง” เสียเปรียบเวียดนาม

ค่าเงินบาทแข็งขึ้นกว่า 6–7% ในขณะที่เวียดนามกลับอ่อนลงเท่ากัน ทำให้ไทยเสียเปรียบถึง 10% โดยเฉพาะการส่งออก แป้งมันไปจีน ที่ไทยถือครองสัดส่วนตลาดราว 60% แต่เวียดนามสูงถึง 90% ราคาขายยังต่างกันเกือบ 50 ดอลลาร์/ตัน

“ยางพารา” แข่งมาเลย์ลำบาก

ค่าเงินบาทแข็งกว่าเงินริงกิตของมาเลเซีย ส่งผลให้การส่งออกยางของไทยยากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มยางแปรรูป ที่อาจขาดทุนกำไรเฉลี่ย 500–1,000 บาทต่อตัน ทำให้หลายโรงงานต้องหาทางป้องกันความเสี่ยงค่าเงินหรือปรับไปขายในประเทศแทน

น้ำตาล: ผลกระทบจำกัด

ตรงกันข้าม การส่งออกน้ำตาลไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะมีการซื้อขายล่วงหน้า (Forward Contract) อยู่แล้ว และแต่ละตลาดมีโควตาชัดเจน

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ