สิงคโปร์–ญี่ปุ่นนำทีม! เงินลงทุนต่างชาติทะลุ 2.7 แสนล้านบาท

การลงทุนจากต่างชาติในประเทศไทยยังคงเติบโตอย่างโดดเด่น ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ประเทศกว่า 2.76 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับปีก่อน สะท้อนความเชื่อมั่นต่อศักยภาพของไทยในฐานะแหล่งลงทุนสำคัญของภูมิภาค โดยเฉพาะกลุ่ม ยานยนต์ เทคโนโลยีดิจิทัล การผลิตขั้นสูง และศูนย์ข้อมูล ซึ่งยังคงเป็นหัวใจของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุคใหม่

Key Highlights

  • ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ต.ค.) จำนวน 869 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 276,736 ล้านบาท เติบโต 72% เมื่อเทียบกับปีก่อน
  • ญี่ปุ่น มีจำนวนบริษัทที่เข้ามาลงทุนสูงสุด (158 ราย)
  • สิงคโปร์ มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด (92,318 ล้านบาท)
  • การลงทุนส่วนใหญ่กระจุกตัวในอุตสาหกรรมที่ไทยต้องการผลักดัน เช่น ยานยนต์ ชิ้นส่วน ซอฟต์แวร์ ดิจิทัล และเทคโนโลยีขั้นสูง ภาพรวมการลงทุนต่างชาติในไทย (10 เดือนแรกของปี 2568)

ในช่วงเดือนมกราคม–ตุลาคม 2568 มีการอนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในไทยรวม 869 ราย โดยแยกเป็น

  • ช่องทางใบอนุญาตประกอบธุรกิจต่างชาติ 228 ราย
  • ช่องทางหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจต่างชาติ 641 ราย
    รวมมูลค่าการลงทุนทั้งหมด 276,736 ล้านบาท 5 อันดับประเทศที่เข้ามาลงทุนสูงสุด 1) ญี่ปุ่น – 158 ราย (18%) มูลค่า 78,285 ล้านบาท

ธุรกิจหลักที่ลงทุน ได้แก่

  • บริการด้านวิศวกรรมและเทคนิคสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์
  • ระบบเทเลเมติกส์เพื่อบริหารจัดการรถยนต์
  • วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็ก
  • รับจ้างผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล็ก และเครื่องจักร 2) สหรัฐอเมริกา – 127 ราย (15%) มูลค่า 4,830 ล้านบาท

ตัวอย่างธุรกิจที่ลงทุน

  • ธุรกิจโฆษณา
  • ออกแบบ ติดตั้ง พัฒนา และดูแลระบบซอฟต์แวร์
  • วิจัยและพัฒนาสูตรผลิตภัณฑ์อาหารจากพืช ผัก ผลไม้
  • รับจ้างผลิตสินค้าประเภทเครื่องประดับ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และโลหะผสม 3) สิงคโปร์ – 126 ราย (14%) มูลค่า 92,318 ล้านบาท

ธุรกิจส่วนใหญ่ ได้แก่

  • โรงงานแปรรูปไม้
  • พัฒนาและให้บริการซอฟต์แวร์
  • ติดตั้งและซ่อมบำรุงเครื่องจักร
  • รับจ้างผลิตชิ้นส่วนโลหะ ผลิตภัณฑ์พลาสติก อุปกรณ์การแพทย์ และไส้กรองอากาศ 4) จีน – 116 ราย (13%) มูลค่า 25,404 ล้านบาท

ธุรกิจที่เข้ามาลงทุน เช่น

  • แปรรูปไม้เพื่อผลิตถ่านกัมมันต์
  • พัฒนาซอฟต์แวร์ตามความต้องการลูกค้า
  • ทดสอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ยานยนต์
  • รับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยางธรรมชาติ FPCB ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป 5) ฮ่องกง – 93 ราย (11%) มูลค่า 13,198 ล้านบาท

ธุรกิจที่ได้รับความสนใจ ได้แก่

  • แปรรูปไม้ทำเครื่องเรือน
  • บริการด้านพลังงานและงานสำรวจ
  • พัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์
  • รับจ้างผลิตแบตเตอรี่ ฟิล์มพลาสติก และอุปกรณ์ภาพและเสียง การเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อน

เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า

  • จำนวนผู้ขออนุญาตเพิ่มขึ้น 11%
  • มูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้นกว่า 115,567 ล้านบาท (เติบโต 72%)
  • การจ้างงานคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 5,364 คน (+77%)

ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่มีนักลงทุนจำนวนมากที่สุดเหมือนปีก่อน

การลงทุนผ่านโครงการส่งเสริมการลงทุน (BOI)

การลงทุนจากต่างชาติส่วนใหญ่เกิดจากโครงการที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก BOI รวม 424 ราย คิดเป็น

  • 49% ของจำนวนการอนุญาตทั้งหมด
  • 210,101 ล้านบาท หรือ 76% ของเงินลงทุนรวม 3 ประเภทธุรกิจ BOI ที่ได้รับอนุญาตสูงสุด
  1. รับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนยานยนต์ พลาสติก และโลหะ
  2. กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO) เสริมบทบาทไทยเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์และการลงทุน
  3. บริการด้านคอมพิวเตอร์ เช่น พัฒนาซอฟต์แวร์ Data Center และบริการที่เกี่ยวข้องกับ AI ภาพรวมการลงทุนในพื้นที่ EEC

ช่วง 10 เดือนแรกของปี 2568 มีการลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตะวันออก (EEC) รวม 253 ราย หรือ 29% ของทั้งหมด
มูลค่าการลงทุนรวม 90,791 ล้านบาท แบ่งเป็น

  • จีน 65 ราย – 17,882 ล้านบาท
  • ญี่ปุ่น 57 ราย – 30,369 ล้านบาท
  • สิงคโปร์ 35 ราย – 20,106 ล้านบาท
  • ประเทศอื่น ๆ 96 ราย – 22,434 ล้านบาท

ธุรกิจที่ได้รับความนิยมใน EEC เช่น

  • แปรรูปไม้ผลิตชิ้นส่วนของใช้ในบ้าน
  • วิศวกรรมชิ้นส่วนยานยนต์
  • พัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลและ Data Center
  • รับจ้างผลิตสินค้า เช่น PCBA ชิ้นส่วนพลาสติก ผลิตภัณฑ์โลหะและเคมีภัณฑ์ สถานการณ์เดือนตุลาคม 2568

เฉพาะเดือนตุลาคม มีการอนุญาตจำนวน 99 ราย มูลค่าลงทุนรวม 23,621 ล้านบาท
ประเทศที่ลงทุนมากที่สุดคือ สิงคโปร์ จีน และญี่ปุ่น

มีการจ้างงานคนไทยเพิ่มอีก 232 คน พร้อมถ่ายทอดเทคโนโลยีเฉพาะด้าน เช่น

  • ระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ
  • มาตรฐานความปลอดภัยสารสนเทศ
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์กลุ่มแม่และเด็ก ประเภทธุรกิจที่ได้รับอนุญาตในเดือนตุลาคม ได้แก่
  • ออกแบบ ติดตั้ง และพัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติ
  • ธุรกิจโฆษณา
  • บริการให้คำปรึกษาด้านธุรกิจและเทคโนโลยี
  • พัฒนาซอฟต์แวร์องค์กร
  • รับจ้างผลิตสินค้า เช่น PCBA ชิ้นส่วนพลาสติก กระดาษรีไซเคิล และเครื่องจักรอุตสาหกรรม

ที่มาข้อมูล: ฐานเศรษฐกิจ