



การลงทุนในประเทศไทยยังคงคึกคักอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 (ม.ค.–ก.ย.) มียอดยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนกว่า 2,622 โครงการ รวมมูลค่า 1.37 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 94% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่มองว่าไทยยังเป็น ฐานการผลิตระยะยาวที่แข็งแกร่งในอาเซียน

ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชาที่ยืดเยื้อ ส่งผลกระทบต่อซัพพลายเชนของนักลงทุนญี่ปุ่น โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนและอิเล็กทรอนิกส์

ตั้งแต่ต้นปี 2568 ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 7% ขณะที่ประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนาม อินเดีย และมาเลเซียกลับมีค่าเงินอ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้สินค้าส่งออกหลักของไทย ทั้ง ข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา เจอภาวะต้นทุนสูงขึ้นกว่า 10% ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลงทันที

ตลาดของเล่นในประเทศจีนมีมูลค่าประมาณ 22.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 165 พันล้านหยวน ในปี 2024 และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 50.6 พันล้านดอลลาร์ ภายในปี 2033 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ย 8.6% ต่อปี สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการสินค้าของเล่นที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มนำเข้าและพรีเมียม

การค้าชายแดนไทย–กัมพูชา เดือนกรกฎาคม 2568 ลดลงอย่างหนักเกือบ 100% หดตัวถึง 97.5% ทำให้ภาพรวมการค้าชายแดนลดลงกว่า 20% เหลือเพียง 66,220 ล้านบาท

ไทยและจีนบรรลุข้อตกลงสำคัญในการเพิ่มจุดผ่านแดนเพื่อการนำเข้า–ส่งออกผลไม้สดรวม 5 ด่าน ภายใต้กรอบความร่วมมือด้านการขนส่งผ่านประเทศที่สาม ซึ่งจะเริ่มใช้งานตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568

การประมาณการล่าสุดชี้ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 2.2% ต่อปี ดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมที่ 2.1% และใกล้เคียงกับการประเมินขององค์กรระหว่างประเทศที่ปรับเพิ่มเป็น 2% จาก 1.8% ขณะที่เศรษฐกิจโลกภาพรวมคาดว่าจะโต 3%

ภายใต้ความพยายามสร้างสมดุลการค้าระหว่างประเทศ ไทยตัดสินใจเปิดทางให้ถั่วเหลืองจากสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดโดยไม่เก็บภาษีนำเข้า แต่การลดภาษีครั้งนี้ไม่ได้กระทบแค่ผู้ผลิตต่างชาติเท่านั้น…

การเปิดตลาดสินค้าการเกษตรบางรายการเพื่อแลกกับการลดภาษีนำเข้าบางกลุ่มอุตสาหกรรม กำลังเป็นประเด็นที่ภาคธุรกิจและเกษตรกรไทยจับตามองอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะเนื้อหมูและเครื่องใน ซึ่งถูกยกให้เป็นหนึ่งในสินค้าสำคัญที่มีผลต่อห่วงโซ่อุปทานทั้งระบบ