บทความที่เป็นประโยชน์

การค้าโลก ปี 2566 ถดถอย โตเพียง 1.7% ด้านการส่งออกไทย ยังหดตัวอย่างต่อเนื่อง

22 สิงหาคม 2566

ท่ามกลางความกังวลของบรรดานักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยของโลก
(Global Recession) หนึ่งสัญญาณที่เริ่มสร้างความตึงเครียดให้บรรดานักลงทุน คือ “ความถดถอยของตัวเลขการค้าโลก” ที่สร้างความเสี่ยงให้ประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) อย่างมีนัยสำคัญ         

โดยข้อมูลเดือนเมษายน ปี 2566 ที่ผ่านมา องค์การการค้าโลก (WTO)  ประเมินว่า ปริมาณการค้าสินค้าโลก

ปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.7% จาก 2.7% ในปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของซิตี้ (Citi) ที่ว่า ปริมาณการนำเข้าทั่วโลกหดตัวติดลบทั้งปี 2565 และ 2566  WTO คาดว่าในปี 2567 การค้าโลกจะขยายตัวขึ้นแตะ 3.2% แต่ประมาณการณ์ดังกล่าวก็อาจลดลงได้ เนื่องจากปัจจุบันมีปัจจัยกดดันเศรษฐกิจจำนวนมากรวมถึงความตึงเครียดทางการเมือง อุปทานอาหารหดตัว และผลกระทบจากนโยบายทางการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางหลายประเทศ

ด้านตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2566 หดตัว 6.4% ซึ่งนับเป็นการหดตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 9 จนส่งผลให้เดือน มกราคม-มิถุนายน ไทยขาดดุลทางการค้าไปแล้ว 6,307.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อัตราการขยายของตัวมูลค่าส่งออกระหว่างเดือน มกราคม-มิถุนายน ปี 2566 ของไต้หวัน สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย และไทย ล้วนติดลบอยู่ที่ 18.1% 10%  8.8% 8.7% 8.4% และ 5.4% ตามลำดับ

เดวิด ลูบิน (David Lubin) หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ตลาดเกิดใหม่จากซิตี้ระบุ 3 เหตุผลหลักที่ทำให้การค้าโลกหดตัวลงจนถึงทุกวันนี้

1.Trade Hangover ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการล็อกดาวน์ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้การบริโภคสินค้าปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปัจจุบัน จึงเห็นว่าความต้องการชะลอตัวลง รวมทั้ง หากย้อนกลับไปเมื่อช่วงเวลาดังกล่าว สหรัฐ และประเทศพันธมิตรตะวันตกต่างใช้นโยบาย “แจกเงิน” กระตุ้นความต้องการซื้อสินค้าจากประชาชน สวนทางกับจีนที่ใช้นโยบายดึงคนงานกลับเข้าโรงงานเพื่อเพิ่มอุปทาน ขณะที่ประเทศคู่ค้าเร่งเพิ่มอุปสงค์ ดังนั้นตัวเลขทางการค้าจึงปรับตัวสูงขึ้น

2.ในประเทศพัฒนาแล้ว ประชาชนหันไปซื้อ “บริการ” แทน “สินค้า”

3. การเติบโตแบบชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลง รวมทั้งการใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่ปรับตัวสูงขึ้นของจีนกระจุกตัวอยู่ในภาคบริการมากกว่าการใช้จ่ายด้านการลงทุนที่มักได้รับการสนับสนุน
จากภาครัฐ                                                                                                                                                                                     

ทั้งนี้ ลูบิน ประเมินว่า การเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลกที่ยังไม่สดใสคือ อยู่ที่ประมาณ 3% ทั้งในปี 2566 และ
ปี 2567 เป็นปัจจัยกดดันปริมาณการค้าโลกอย่างเห็นได้ชัด นับว่าเติบโตแบบชะลอตัวเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ขยายตัวถึง 3.5% ที่สำคัญการชะลอตัวของตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โลกจะเข้าไปกดดันการค้า และอุปสงค์ทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้ง ปัจจุบันทั้งโลกอยู่ใกล้จุดปลายสุดของโลกาภิวัตน์ (Peak Globalisation) โดย ตามข้อมูลของ IMF พบว่า ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 การส่งออกคิดเป็น 15% ของจีดีพีโลก ขณะที่โลกาภิวัตน์ดันอัตราส่วนดังกล่าวให้แตะ 25% ของจีดีพีในช่วงวิกฤติการเงินเมื่อปี 2008 ทว่าอัตราส่วนดังกล่าว กลับลดลงอย่างต่อเนื่องจนเหลือ 20% ของจีดีพีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19       

อีกปัจจัยที่บ่งชี้ถึงสภาวะถดถอยของการค้าโลก คือ ความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของการค้าโลกและ
การเติบโตของจีดีพีโลก อัตราการเติบโตของการค้าโลกในช่วงปี 2553-2563 โดยเฉลี่ยแล้วต่ำกว่าอัตรา
การเติบโตของจีดีพีโลกเป็นทศวรรษแรกนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จากเหตุการณ์ดังกล่าว WTO คาดการณ์ว่า การเติบโตของการค้าโลกจะต่ำกว่าการเติบโตของ จีดีพีอีกครั้งในปี 2566 ท่ามกลางนโยบายการกีดกันทางการค้า ความปั่นป่วนในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ และการให้ความสำคัญกับห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่นมากขึ้น มากไปกว่านั้น บรรดานักเศรษฐศาสตร์ เริ่มส่งเสียงเตือน ถึงปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เอลนีโญ” ที่อาจกระทบผลผลิตสินค้าและภาคการส่งออก

ที่มาแหล่งข้อมูล :

https://www.bangkokbiznews.com/finance/investment/1081725

---------------------------------------

ติดต่อสอบถามบริการ BTL

02-681-2005 ถึง 9

www.bkkterminal.com

m.me/BangkokTerminalLogistics

<< กลับไปหน้าบทความ

บทความอื่นๆ